1.วันมาฆบูชา ( เดือน 5 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ กุมภาพันธ์ )
มาฆบูชา แปลว่า การบูชาในเดือน 3 ใต้ เป็นวันที่มีความสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนาในที่ท่ามกลางสงฆ์ ณ เวฬุวันมหาวิหาร โดยพระพุทธเจ้าทรงปรารภเหตุสำคัญ 4 ประการ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งแปลว่า การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ 4 คือ
1. วันนั้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
2. วันนี้พระอรหันต์ขีณาสพ จำนวน 1,250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
3.พระอรหันต์ขีณาสพที่มาประชุมกันนั้น ล้วนเป็นผู้หมดกิเลสบรรลุอภิญญา 6 แล้วทั้งสิน
4. พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท จากพระพุทธเจ้าโดยตรงพระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุนี้จึงได้วางหลักการที่สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้โดยได้ตรัสเป็นคำประพันธ์ไว้ 3 คาถากึ่ง ดังนี้
“การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงผลพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
“ความอดทน คือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรม ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ”
“การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ที่นั่งนอนอันสงัด ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
คำสอนเหล่านี้ถือเป็นหลักการที่สำคัญของพระพุทธศาสนา แต่เรามักจะจำได้เฉพาะคาถาแรกเท่านั้นว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์.
วันวิสาขบูชา (เดือน 8 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ พฤษภาคม )
วันวิสาขบูชาเป็นวันที่มีความสำคัญพิเศษที่สุดในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่พุทธศาสนิกชน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นวันที่มีความสำคัญต่อพระพุทธเจ้าทั้งหมด แต่เกิดต่างปีกันในช่วงเวลา 80 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นคือ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า โดยทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้น ในวันเพ็ญเดือน 6 ใต้ เหมือนกัน แต่ต่างปีกัน คือ
1.วันประสูติ ตรงกับวันศุกร์ วันเพ็ญเดือน 6 ใต้ ปีจอ เวลาสายใกล้เที่ยง ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เกิดขึ้น ณ ป่าลุมพินีเขตติดต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลรุมมินเด
2. วันตรัสรู้ เกิดขึ้นในเวลา 35 ปีต่อมา ภายหลังที่สิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาได้ 6 ปี ณ โคนต้นไม้โพธิ์ใบชื่อว่า อัสสัตถะ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลพุทธคยา
3. วันปรินิพพาน เกิดขึ้นในปีที่ 80 แห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า ณ แท่นบรรทมระหว่างต้นรังคู่ ป่าสาละ เมืองกุสินารา ปัจจุบันเป็นตำบลกุสินารา หรือกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ
นับเป็นการยากยิ่งที่เหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในวันเดียวกันของปีที่ต่างกัน ดังนั้น ชาวพุทธจึงถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และได้จัดพิธีบูชากันอย่างยิ่งใหญ่
วันอาสาฬหบูชา ( เดือน 10 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ กรกฎาคม )
อาสาฬหบูชา ( อ่านว่า อา-สาน-หะ-บู-ชา) แปลว่า การบูชาในเดือน 8 ใต้ เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง โดยเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเรียกว่า ปฐมเทศนา โดยพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงในวันนั้นมีชื่อว่า ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดในวันนี้คือ พระปัญจวัคคีย์
เนื้อหาของพระธรรมเทศนาที่แสดงในวันนี้ เกี่ยวกับที่สุดโต่ง 2 ประการที่ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ คือ
1.อัตตกิลมถานุโยค คือ การทำตนให้ลำบากเปล่า คือ ความพยายามเพื่อบรรลุผลที่มุ่งหมายด้วยวิธีทรมานตนเองให้ได้รับความลำบากต่าง ๆ
2. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การทำตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุข
โดยที่สุดโต่งทั้ง 2 ประการนี้ ไม่ใช่หนทางที่จะหลุดพ้นความทุกข์ ซึ่งพระองค์ได้ลงประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุความพ้นทุกข์ได้
จากนั้น พระองค์ทรงแสดงอริยสัจ 4 ประการ ซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐหรือหลักความจริงที่ทำให้บุคคลเป็นผู้ประเสริฐ 4 ประการ คือ
1.ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ได้แก่ ขันธ์ 5
2. สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
3.นิโรธ คือ ความดับทุกข์
4. มรรค คือ หนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรค คือ มรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฎฐิ เป็นต้น
เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศราจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดดวงตาเห็นธรรมแล้วปัญจวัคคีย์ จึงถือได้ว่า วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ใต้ นี้เป็นวันที่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นครบบริบูรณ์.
วันเข้าพรรษา ( เดือน 10 เหนือ แรม 1 ค่ำ กรกฎาคม )
วันเข้าพรรษา คือ วันที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำ (ในวัดหรือสถานที่ใดที่หนึ่ง) ในช่วงฤดูฝนเป็นเวลา 3 เดือน เพราะทรงเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ลำบากในการเดินทางออกไปเที่ยวสั่งสอนประชาชน ทั้งเป็นเวลาที่ชาวบ้านทั่วไปกำลังทำการเพาะปลูกตามเรือกสวนไร่นา ทรงเกรงว่าการเดินทางของพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์อาจไปเหยียบย่ำทำความเสียหายแก่พืชผล จึงทรงกำหนดเป็นพุทธบัญญัติ อนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์หยุดพักเป็นการชั่วคราว ดังกล่าว เรียกตามศัพท์ว่า จำพรรษา แปลว่าอยู่ประจำที่วัดในฤดูฝน 3 เดือน โดยจะไปพักค้างแรมที่อื่นไม่ได้ ยกเว้นเหตุพิเศษ 4 ประการ คือ
1.เพื่อนสหธรรมิก (พระภิกษุสามเณร) หรือบิดามารดาเจ็บป่วยไปเพื่อพยาบาลได้
2.เพื่อนสหธรรมิกอยากจะสึกไปเพื่อระงับมิให้สึกได้
3.ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น การหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิวิหารชำรุด
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ จะไปเพื่อฉลองศรัทธาก็ได้ หรือด้วยเหตุอื่นๆ ที่อนุโลมเข้าทั้ง 4 ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งได้
เมื่อมีเหตุ 4 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืนได้ไม่เกินครั้งละ 7 วัน เรียกว่า “สัตตาหะ”
วันเข้าพรรษา มีระยะเวลากำหนดไว้ 2 ช่วง คือ
1. ช่วงแรก เรียกว่า ตรงกันวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ใต้ ถึงกลางเดือน 11 ใต้ เรียกว่า ปุริมพรรษา (พรรษาแรกก.ค.- ต.ค.)
2. ช่วงที่สอง ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ใต้ ถึงเดือน 12 ใต้ เรียกว่า ปัจฉิมพรรษา ( พรรษาหลัง ส.ค. – พ.ย. ) พระพุทธเจ้าทรงอนูญาตไว้เพื่อเปิดโอกาสให้ภิกษุที่หาที่อยู่จำพรรษาไม่ได้ หรือมีกิจที่ต้องทำค้างอยู่ได้เข้าพรรษาในช่วงนี้ก็ได้ โดยไม่ผิดพระวินัย
ปัจจุบันไม่มีการเข้าพรรษาแบบระยะที่สองแล้วเพราะไม่ได้รับกฐินเนื่องจากวันปวารณา (วันออกพรรษา) คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ใต้
วัดอุทกวนาราม (นางแลใน) โทร.๐๘-๙๖๓๗-๕๔๐๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น